วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2562

รู้ยัง? “5 ผลไม้ เด่น ที่น่าปลูกในอนาคต” มีอะไรบ้าง



ลำไยยักษ์ พันธุ์ “จัมโบ้”
ลำไยสายพันธุ์ใหม่ ที่กรมวิชาการเกษตร ได้มีหนังสือรับรองพันธุ์ขึ้นทะเบียนกรมวิชาการเกษตร จัดเป็นลำไยอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ได้จากการกลายพันธุ์มาจากการเพาะเมล็ด (คาดว่าน่าจะกลายมาจากพันธุ์อีดอ) เป็นพันธุ์ที่เหมาะต่อการบริโภคสด
ผลมีขนาดใหญ่มาก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร มีขนาดผลใหญ่กว่าลำไยเกรด A ที่ส่งขายยัง ต่างประเทศถึง 2 เท่า
เป็นลำไยที่เนื้อหนาแข็งและแห้ง ไม่แฉะน้ำ มีความหวานเฉลี่ย 13-15 เปอร์เซ็นต์บริกซ์
ที่น่าสนใจคือ เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ และได้มีการตั้งชื่อว่า พันธุ์ “จัมโบ้” (JUMBO)
เจ้าของลำไยพันธุ์จัมโบ้นี้คือ คุณสุทัศน์ อินต๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เป็นต้นที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดและกลายพันธุ์มาดี จากลำไยต้นหนึ่งในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ลักษณะของการติดผลของลำไยพันธุ์นี้ ถ้าดูแลดี ดกไม่แพ้พันธุ์อีดอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล ลักษณะผลจะกลมแป้น ผิวเปลือกเรียบ มีสีน้ำตาลปนเหลือง เปลือกหนาประมาณ 1.3 มิลลิเมตร
ในธรรมชาติจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคม และเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม-กันยายน
จัดเป็นลำไยที่มีลักษณะเป็นพันธุ์หนักกว่าพันธุ์อื่น ทำให้ผลผลิตแก่กว่าลำไยที่ออกในฤดูทั่วไป เนื่องจากเป็นลำไยที่พบเปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ “สวนคุณลี” จังหวัดพิจิตร และได้ผลผลิตในช่วงต้นเดือนกันยายน พบว่าใน 1 ช่อ ผลลำไยมีเมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์
ถือเป็นพันธุ์ลำไยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก คือรสชาติ ลักษณะเหมือนลำไยพันธุ์อีดอผสมเบี้ยวเขียว คือมีเนื้อแห้งและกรอบ แต่ได้ขนาดที่ผลใหญ่มาก และที่สำคัญ “เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ และเนื้อหนามาก”
มีเกษตรกรผู้ปลูกลำไยส่งออกได้มาดูผลผลิตยอมรับว่าดีจริง และส่งขายต่างประเทศได้ราคาสูงแน่นอน
โดยผู้ส่งออกได้มาดูผลผลิตลำไยพันธุ์จัมโบ้ที่สวนคุณลีบอกว่า ลักษณะคล้ายกับพันธุ์อีดอ เนื้อมีสีขาว แต่โดดเด่นตรงที่เนื้อหนามากและเมล็ดลีบ ทำให้ได้เปรียบลำไยสายพันธุ์อื่น
สำหรับพื้นที่ที่จะปลูกลำไยพันธุ์จัมโบ้สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ ขอให้มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น 
เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต หรือโซเดียมคลอเรต บังคับให้ออกนอกฤดูได้ 
การปลูกลำไยแบบสมัยใหม่ ถ้าเป็นพื้นที่ที่เคยปลูกพืชอื่นมาก่อน ให้ไถดินลึก ประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 20-25 วัน พรวนย่อยดินอีก 1-2 ครั้ง และปรับระดับดินให้สม่ำเสมอตามแนวลาดเอียง
วิธีการปลูก เริ่มจากการเตรียมพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่ง ซึ่งควรเตรียมไว้ล่วงหน้า 1 ปี เพื่อจะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง หรือเลือกใช้ต้นพันธุ์ลำไยที่ขยายพันธุ์แบบเสียบยอด หรือทาบกิ่งก็ได้ เพราะจะได้ต้นพันธุ์ที่มีรากแก้ว ทำให้ต้นแข็งแรง หากินเก่ง ทนต่อสภาพดินไม่ดีได้ ต่อมาก็เป็นเรื่องของระยะปลูก 6x6 เมตร แล้วใช้วิธีควบคุมทรงพุ่ม
ฝรั่ง พันธุ์ “พิจิตร 1”
ผู้เขียนได้นำเมล็ดพันธุ์ฝรั่งฮ่องเต้มาบริโภค และได้นำเมล็ดมาเพาะโดยมีวัตถุประสงค์แรกเพื่อจะใช้ทำต้นตอ และนำไปทาบกิ่งกับฝรั่งพันธุ์ฮ่องเต้ เพื่อจะได้ต้นพันธุ์ที่มีรากแก้ว เมล็ดส่วนหนึ่งได้นำไปปลูกแซมในสวนมะนาวแป้นดกพิเศษ เพื่อตรวจสอบดูว่าจะมีฝรั่งต้นใดกลายพันธุ์มาดีกว่าพันธุ์ฮ่องเต้หรือไม่
ผลปรากฏว่า มีฝรั่งอยู่ต้นหนึ่งปลูกด้วยเมล็ดไปเพียง 4-5 เดือนเศษ เริ่มออกดอกและติดผลดกมาก ที่สวนคุณลีได้ทดลองผลเหมือนกับการห่อฝรั่งในไต้หวัน เมื่อผลแก่พบว่า ฝรั่งมีผลเป็นทรงกลมคล้ายพันธุ์กลมสาลี่ มีผิวขาวนวล เนื้อละเอียดมาก และเนื้อไม่แข็งมาก เมล็ดน้อยมาก รสชาติหวานมาก ความหวานน่าจะไม่ต่ำกว่า 14 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ถ้ามีการบำรุงรักษาที่ดี ผลจะมีน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัม ต่อผล
ที่สำคัญ เมื่อผลฝรั่งพันธุ์พิจิตร 1 แก่จัด เนื้อจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายกลิ่นของแอปเปิ้ล และเนื้อล่อนหลุดง่ายจากเมล็ด จัดเป็นฝรั่งที่มีรสชาติอร่อยมากอีกพันธุ์หนึ่ง และได้ตั้งชื่อพันธุ์ว่า “พันธุ์พิจิตร 1” เพราะต้นแม่เกิดที่จังหวัดพิจิตร 
คาดว่า ฝรั่งพันธุ์พิจิตร 1 จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการปลูกฝรั่งไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
การปลูกฝรั่งให้ความสำคัญในเรื่องของสภาพดินปลูกที่จะต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำที่ดีและมีอินทรียวัตถุสูงเป็นที่สังเกตว่าการนำกากอ้อยมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในการปรับโครงสร้างของดินและที่เน้นเป็นพิเศษคือจะต้องมีการตรวจเช็กค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน เมื่อดินเป็นกรดจะแนะนำให้ใส่ปูนโดโลไมท์ ระยะการปลูก 4x4 เมตร หรือ 6x6 เมตร
มีคำแนะนำเพิ่มเติมว่า การใช้ระยะปลูกที่ห่างพอสมควรมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบการถ่ายเทอากาศที่ดี มีส่วนช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้
ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 1” จัดเป็นไม้ผลที่น่าปลูก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกได้เร็ว กล่าวคือ ปลูกเพียง 6 เดือน ต้นสามารถออกดอกและติดผลแล้ว และเก็บผลผลิตขายได้ภายใน 1 ปี
ชมพู่พันธุ์ “สตรอเบอรี่”
สวนคุณลีได้ยอดพันธุ์ชมพู่สตรอเบอรี่มาเสียบยอดกับต้นชมพู่ทับทิมจันท์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 ต้นชมพู่สตรอเบอรี่ใหญ่เต็มที่ เริ่มออกดอกและติดผลพบว่า ให้ผลผลิตดกมาก มีลักษณะติดผลเป็นพวงและผลร่วงน้อยกว่าชมพู่พันธุ์อื่นๆ เมื่อผลชมพู่แก่สีของผลมีสีแดงเลือดนก โดดเด่นมาก มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 200 กรัม และรสชาติหวาน กรอบ อร่อยมาก ที่สำคัญเมื่อปล่อยชมพู่ให้แก่จัดบนต้นพบว่า เน่าเสียได้ยากกว่าชมพู่ทุกพันธุ์ที่ปลูกในบ้านเรา
สรุปได้ว่า เป็นพันธุ์ชมพู่ที่ทนต่อการขนส่ง ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่จะมีความแตกต่างจากชมพู่การค้าพันธุ์อื่นๆ ตรงที่ลักษณะของใบจะใหญ่มาก
ปัจจุบันชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรมีปลูกอยู่รายเดียวเท่านั้นในประเทศไทย
ผู้เขียนคาดว่า ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปลูกชมพู่ในอนาคตของชาวสวนผลไม้ไทย เนื่องจากเป็นชมพู่ที่มีเนื้อละเอียด เวลากัดจะไม่รู้สึกปวดฟัน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและวัยรุ่นที่ชอบชมพู่ที่มีสีสันสวยงาม สีแดงสด และรสชาติหวาน กรอบ จัดเป็นชมพู่ที่ติดผลดกมาก น้ำหนักผลที่ใหญ่สุดมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 250 กรัม
มะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง” ของแท้
ช่วงระหว่าง วันที่ 29 กรกฎาคม-2 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานที่เกาะไต้หวันอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่ 5 และในครั้งนี้ได้เข้าชมแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนันอีกครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสได้เห็นมะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง”
ซึ่งมีขนาดผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม เนื้อสุกมีรสชาติหวาน หอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบาง เพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง
ทางสวนคุณลี ได้ต้นพันธุ์ มะม่วง “งาช้างแดง” มาปลูกในประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันได้มีการเผยแพร่มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงกันอย่างแพร่หลาย อาจจะทำให้มีหลายคนเกิดความสับสนทั้งรูปภาพที่นำมาเผยแพร่
ในการไปดูงานในไต้หวันในครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับความกระจ่างว่า สวนคุณลีได้มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงของแท้มาปลูก และได้ทดลองชิมผลผลิตแล้วต้องยอมรับว่า เมื่อผลสุกรสชาติหวาน หอม ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ ที่สำคัญปริมาณเนื้อมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และเมล็ดลีบเล็กมาก มะม่วงพันธุ์งาช้างแดง ผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร เนื้อสุกมีรสชาติหวานหอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบางเพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง น้ำหนักของเมล็ดไม่ถึง 100 กรัม มีเฉพาะเนื้อมากกว่า 1 กิโลกรัม
มะม่วงลูกผสม “ไต้หวัน T1”
ในแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนัน เกาะไต้หวัน มีการพัฒนาสายพันธุ์มะม่วงให้สีผิวมีสีแดงมากขึ้น มีพันธุ์มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่หลายสายพันธุ์ มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่บางสายพันธุ์ของศูนย์แห่งนี้ได้ปรับปรุงพันธุ์ให้ผลมีสีแดงออกม่วงตั้งแต่ระยะผลอ่อน
ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้ยอดมะม่วงพันธุ์ลูกผสมพันธุ์ใหม่จากแปลงทดลองของศูนย์แห่งนี้มาหลายสายพันธุ์และเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้นำยอดพันธุ์มะม่วงเหล่านั้นมาเสียบฝากไว้กับต้นมะม่วงR2E2เวลาผ่านไป 3 ปี มะม่วงลูกผสมของไต้หวันหลายสายพันธุ์ได้เจริญเติบโตและพร้อมที่จะให้ผลผลิต
โดยหนึ่งในนั้นทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้ตั้งชื่อมะม่วงลูกผสมว่า T1 (T ย่อมาจาก Taiwan) ฤดูกาลที่ผ่านมา มะม่วง T1 ได้มีการออกดอกและติดผล
สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ในระยะที่ผลมะม่วง T1 มีการติดผลเท่ากับนิ้วก้อย ผิวที่ผลจะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีม่วงแดง โดยเมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้น สีของผิวจะออกสีม่วงเข้มขึ้น และเมื่อผลแก่จะมีสีม่วง ทั้งผล มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม จัดเป็นมะม่วงกินสุกที่รสชาติอร่อย เนื้อมีสีเหลืองละเอียดเนียน ไม่มีเสี้ยน
มะม่วงพันธุ์ T1 (TAIWAN เบอร์ 1) เมื่อผลแก่และนำมาวางขายด้วยผิวผลที่มีสีม่วงเข้มจะดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะเป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีชาวสวนมะม่วงไทยขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในอนาคต
ปัจจุบัน ทางสวนคุณลี ได้ขยายพื้นที่ปลูกมะม่วง T1 มากขึ้น ด้วยมั่นใจว่าจะปลูกและสามารถบังคับให้ออกนอกฤดูในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการบริโภคมะม่วงในประเทศไทย
ที่สำคัญพบว่า มะม่วงลูกผสม T1 สามารถยืดอายุการเก็บเกี่ยวได้บนต้นนานนับเดือน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผลมะม่วงแก่จัดนำมาบริโภคเป็นมะม่วงกินดิบ เนื้อสีเหลือง รสชาติหวานมัน และอร่อยไม่แพ้มะม่วงพันธุ์ “แก้วขมิ้น” ของกัมพูชา
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://money.sanook.com/226153/

"ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด และรายได้งาม"



"ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด และรายได้งาม"
" เทคนิค ปลูกผักหวานป่าอย่างไร...ให้รอด"
เคยได้ยินมาว่า ปลูกต้นผักหวานป่าให้รอดนั้นไม่ง่าย แต่ถ้ารอดแล้วก็อยู่ยาวเป็น10 ปีเลยทีเดียว 
ว่าแล้ว...ก็ลองปลูกต้นผักหวานป่าบ้างดีกว่า อยากรู้ว่ามันจะยากเหมือนที่เคยได้ยินมามั้ย... 
ต้นพันธุ์ผักหวานป่า
เราเริ่มต้นปลูกผักหวานป่า จำนวนทั้งหมด 100 ต้น กะว่าเหลือซัก 50 ต้น ก็นับว่าใช้ได้แล้วสำหรับเรา. แต่...ผลปรากฏว่าเกินความคาดหมาย คือ ตายไปแค่ 8 ต้น,เหลือรอด 92 ต้น... รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยโมเมเอาเองว่า วิธีนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็น " เทคนิคอย่างหนี่งที่ปลูกต้นผักหวานป่า ให้รอดตาย "ได้เช่นกัน.
  ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์นี้แก่เพื่อนๆที่คิดจะปลูกผักหวานป่า ลองทำแบบเราดู แล้วท่านจะพบว่าไม่ยากอย่างที่คิด... 
ต้นแคและต้นมะขามเทศ เป็นไม้พี่เลี้ยงชั้นดีแก่ต้นผักหวานป่าต้นแคและต้นมะขามเทศ เป็นไม้พี่เลี้ยงชั้นดีแก่ต้นผักหวานป่า
ต้นแคและต้นมะขามเทศ เป็นไม้พี่เลี้ยงชั้นดีแก่ต้นผักหวานป่า
ต้นแคและต้นมะขามเทศ เป็นไม้พี่เลี้ยงชั้นดีแก่ต้นผักหวานป่า
      " เทคนิคปลูกต้นผักหวานป่า แบบสวนเกษตรอินทรีย์บ้านสันคู " มีดังนี้... 

 1. เลือกใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเมล็ดมาปลูก จะให้ผลผลิตดีและอายุยืนกว่า แบบกิ่งตอน 
 2. ปลูกพืชพี่เลี้ยงไว้ก่อนที่จะปลูกต้นผักหวานป่า เช่น ต้นมะขามเทศ,ชะอม,,โสน,กระถิน,ต้นแค ฯลฯ พืชที่กล่าวมานี้จัดเป็นพืชตระกูลถั่วทั้งหมด เลือกปลูกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะหลายอย่างก็ได้... สำหรับเราเลือกใช้ต้นแค ซึ่งปลูกไปพร้อมๆกับต้นผักหวาน และต้นมะขามเทศ (ต้นมะขามเทศนี่ ปลูกล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว)  เป็นพืชพี่เลี้ยง
3.เลือกทิศทางที่จะปลูกให้เหมาะสมตามสภาพของแสงแดด ต้นผักหวานป่านั้นไม่ชอบแดด ชอบอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ มีแสงรำไร
4.ระยะห่าง ระหว่างต้นและระหว่างแถว ~  2 x 2 เมตร
5.ขุดหลุมปลูก กว้าง และ ลึก เท่ากับขนาดของถุงต้นพันธ์ุ แล้วผสมปุ๋ยคอก( 2-3 กำมือ/ต้น) กับดิน ใส่รองก้นหลุมไว้

ต้นผักหวานป่า ปลูกแบบสองต้นคู่
ต้นผักหวานป่า ปลูกแบบสองต้นคู่
ต้นผักหวานป่า ปลูกแบบสองต้นคู่
6.เตรียมนำต้นพันธุ์ลงหลุมปลูก โดย ใช้กรรไกรตัดโดยรอบก้นถุง แล้วค่อยๆแกะถุงพลาสติกด้านล่างออกเท่านั้นตรงนี้ต้องระวังให้มากเป็นพิเศษเพราะปลายของรากแก้วจะมาขดตัวอยู่ในซอกมุมของถุง ถ้ารากแก้วหักหรือขาดโอกาสที่ต้นผักหวานป่าจะตายมีสูง แต่ถ้าเกิดพลาดทำรากขาดไปบ้าง ก็ปลูกไปเถอะ..เผื่อรอด ! ..ค่อยๆหย่อนต้นพันธุ์ลงหลุมโดยที่ไม่เอาถุงดำออก คือ ปลูกไปทั้งถุงนั่นแหละ มันอาจจะดูแปลกๆสักหน่อย แต่ตรงนี้นี่แหละที่เป็นเทคนิค...ที่ทำให้ต้นผักหวานของเรา รอดตายมาได้เกือบทุกต้น... ไม่ต้องกลัว เมื่อเวลาผ่านไป ถุงพลาสติกจะค่อยๆเปื่อยสลายไปเอง.

ต้นผักหวานป่าที่พึ่งเริ่มปลูก
ต้นผักหวานป่าที่พึ่งเริ่มปลูก
 ต้นแคและต้นผักหวานป่าอายุได้ 2 เดือน ต้นแคและต้นผักหวานป่าอายุได้ 2 เดือน
ต้นแคและต้นผักหวานป่าอายุได้ 2 เดือน
7.หาเศษใบไม้แห้ง หรือฟางข้าวมาคลุมโคนต้นไว้เพื่อรักษาความชื้น หลังจากนั้นต้องหาวัสดุอะไรก็ได้เช่น ตะเข่ง,ตะกร้า,แสลน  มาคลุมไว้ เพื่อช่วยบังแสงในช่วงบ่าย ต้นผักหวานจะไม่เหี่ยวเฉาเลยแม้แดดจะร้อนมากเพียงใด ของเราใช้ตะกร้าพลาสติก ควรครอบไว้จนกว่าต้นผักหวานจะมีอายุได้อย่างน้อย 6 เดือนก็เอาออกได้

ต้นผักหวานป่า อายุ 6 เดือน
ต้นผักหวานป่า อายุ 6 เดือน
ต้นผักหวานป่า อายุ 6 เดือน
.... หรือจะเจาะรูก้นตะกร้าแบบนี้ก็ได้เพื่อเป็นการปกป้องลมและแสงแดดได้อีกระดับหนึ่ง เพราะ ต้นผ้กหวานอายุ 6เดือนนั้นยังไม่แข็งแรงมากนัก
8.ให้น้ำ 1 ครั้ง /สป. หรือ ดูตามสภาพอากาศ ,ส่วนปุ๋ยคอกให้เดือนละ 1 ครั้ง -ทางดิน และให้น้ำขี้หมู 1 ครั้ง/สป.-ทางใบ ด้วยจะดีมาก
 จากผลการทดลองปลูกผักหวานป่าของเราพบว่า ....
   1) ต้นผักหวานที่่ตายไป 8 ต้นนั้นเกิดจากรากหักตอนแกะถุงปลูก... ข้อเสนอแนะ ควรซื้อต้นพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มาปลูกคือเริ่มมีใบ 3-4 ใบก็พอเพราะรากแก้วยังไม่ยาวมากเหมือนต้นที่โต ทำให้เวลาแกะถุงปลูกรากไม่ขาด  
   2) ต้นผักหวานเจริญเติบโตช้ามากในช่วงแรก เพราะเนื่องจากความเข้าใจผิดคิดว่าต้นผักหวานป่า ไม่ชอบน้ำ ชอบแบบแล้งๆไม่จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ก็ได้... ข้อเสนอแนะ ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ต้นผักหวานป่านั้น ถึงแม้จะทนแล้งได้ดี แต่ถ้าเราดูแลเหมือนปลูกพืชทั่วๆไป แค่นี้ต้นผักหวานก็จะเจริญเติบโตได้ดีกว่านี้แน่นอน                                                                                     
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : https://goo.gl/TEFnCs

แจกสูตรเพาะเห็ดปลวก สร้างรายได้หลายงาม



แจกสูตรเพาะเห็ดปลวก สร้างรายได้หลายงาม

ปลูกเห็ดโคน หรือ เห็ดปลวกสร้างรายได้ ..ด้วยวิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน

เห็ดโคน หรือ เห็ดปลวก คนละชนิดกับเห็ดโคนน้อย ความจริงเห็ดโคนน้อยคือเห็ดถั่ว โดยทั่วไปมักพบขึ้นอยู่ตามกองซากถั่วเหลือง หรือถั่วเขียว

ส่วนเห็ดโคนหรือเห็ดปลวกนั้น วงจรชีวิตของมันต้องพึ่งพาปลวกเข้ามาช่วย จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า ปลวกงานจะนำเอาสปอร์ ซึ่งเป็นหน่วยขยายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กมาก ทำหน้าที่เช่นเดียวกับเมล็ดพืชอื่นๆ ไปปลูกในรังให้เป็นอาหารของปลวกวัยอ่อน

ส่วนสปอร์ที่หลงเหลือ เมื่อได้รับความชื้นในฤดูฝนก็จะเติบโตโผล่พ้นผิวดินขึ้นมาปรากฏให้เห็น และเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์เรา

วิธีเพาะหรือปลูกเห็ดโคน ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน เริ่มจากนำจาวปลวก ที่อยู่ภายในจอมปลวก มีขนาดใกล้เคียงกับกะลามะพร้าวผ่าซีก จอมปลวกหนึ่งรังจะมีจาวปลวกหลายอัน มีลักษณะเบา โปร่ง ซุย มีรอยทางเดิน ซอกแซก ทะลุถึงกันได้ จาวปลวกน่าจะเป็นสวนปลูกเห็ดอ่อน เพราะมีเส้นใยขาวเต็มไปหมด สามารถพัฒนาเป็นดอกเห็ดต่อไป เกษตรกรจะนำส่วนนี้ออกมาถู หรือขยี้ ให้เป็นฝุ่นโปรยลงบนข้าวเหนียวนึ่งสุก ทิ้งให้เย็น เติมน้ำเล็กน้อยแล้วคลุกให้เข้ากัน คล้ายกับการทำสาโท

นำไปหมักในถังพลาสติก ปิดปากถังด้วยผ้าขาวบาง เกษตรกรบางท่านอาจฉีกหมวกเห็ดโคนผสมลงไปด้วยก็มี เก็บในร่ม ปล่อยให้เส้นใยเจริญเพิ่มปริมาณจนมองเห็นสีขาวชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ จึงนำไปหว่านในสวนในร่มรำไร อย่าให้แสงแดดจ้า ในช่วงแล้งควรสับฟางข้าว หรือนำใบไม้แห้งโรยลงพื้นเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุเป็นอาหารชั้นดีของเห็ด เมื่อเตรียมหัวเชื้อไว้เรียบร้อยแล้วจึงนำไปหว่านลงดิน กะให้พอดีกับต้นฤดูฝน หากฝนทิ้งช่วงควรรดน้ำให้บ้างเป็นครั้งคราว จากนั้นอีกประมาณ 30-45 วัน จะมีดอกเห็ดปรากฏให้เห็น
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.senesouk.com/2017/05/blog-post_445.html

วิธีปลูก “ไผ่ตงลืมแล้ง” เพียง 1 ไร่ ให้ได้กำไรมากกว่าปีละ 2 แสน




วิธีปลูก “ไผ่ตงลืมแล้ง” เพียง 1 ไร่ ให้ได้กำไรมากกว่าปีละ 2 แสน

ไผ่เศรษกิจรสชาติดีให้หน่อดกทนแล้งได้ดีให้หน่อได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี

         “ไผ่ตงลืมแล้ง” เป็นพืชที่ปลูกและดูแลไม่ยาก แต่หากเริ่มต้นไม่ถูกวิธีหรือเริ่มต้นแบบงูๆ ปลาๆ ก็อาจจะก่อปัญหาสร้างความกวนใจให้ผู้ปลูกไผ่ตงลืมแล้งมิใช่น้อย เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราลองมาดูวิธีการเริ่มต้นปลูกไผ่ตงลืมแล้ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับเราดีกว่า  

การปลูกไผ่ตงลืมแล้งอย่างถูกวิธี
           ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกไผ่ตงลืมแล้งควรจะปลูกช่วงต้นฤดูฝน หรือราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เนื่องจากในช่วงเริ่มแรกของการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง ตัวของต้นไผ่เองต้องการน้ำมากจะขาดน้ำไม่ได้เลย เพราะไผ่ตงลืมแล้งต้องนำไปใช้เลี้ยงลำและสร้างหน่อใหม่

การเตรียมพื้นที่ในการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง
           หากพื้นที่ที่จะปลูกไผ่ตงลืมแล้งมีต้นไม้ใหญ่อยู่ ก็ควรที่จะตัดโค่นไม้ใหญ่ออก เพราะจะไปแย่งอาหารจากไผ่ถ้า ไม่เช่นนั้นไผ่จะโตช้าและต้องให้ปุ๋ยมากกว่าปกติ ถ้าเป็นพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำจะดีมาก เพราะไผ่ตงลืมแล้งเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก โดยส่วนใหญ่แล้วไผ่ทั่วไปไม่ชอบน้ำขัง แต่สำหรับไผ่ตงลืมแล้งถึงแม้ว่าจะโดนน้ำท่วมขังก็ไม่ตาย ท่านเลือกพื้นที่ที่จะทำการปลูกได้แล้ว เราจะเริ่มการเตรียมพื้นที่ปลูกโดยการไถหยาบตากแดดให้ดินแห้งเพื่อกำจัดเชื้อราและวัชพืชบางชนิด ทิ้งไว้ สัก 5-7 วัน ไถละเอียดอีกครั้งเป็นอันใช้ได้

จำนวนกิ่งพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งที่จะใช้ปลูก ต่อ 1ไร่


                โดยส่วนใหญ่ผู้ปลูกไผ่ตงลืมแล้งจะนิยมปลูกไผ่ที่ระยะ 3*4 เมตร คือระยะห่างระหว่างต้น 3 เมตร ระยะห่างระหว่างแถว 4 เมตร ใช้กิ่งพันธุ์ประมาณ 120 กิ่งโดยมีหลักการคำนวนดังนี้
                1 ไร่ = 400 ตารางวา โดยที่ 1 วา = 4 เมตร ดังนั้นพื้นที่1 ไร่ = 1,600 ตาราเมตร
                พื้นที่ 1,600 ตารางเมตร. จะมีพื้นที่ขนาด กว้าง x ยาว = 40 เมตร x 40 เมตร.
                ต้องการปลูกระยะระหว่างแถว 4 เมตร จะสามารถปลูกไผ่ตงลืมแล้งได้ 40 เมตร/ 4 เมตร = 10 แถว
                ต้องการปลูกระยะระหว่างต้น 3 เมตร ต้องใช้กิ่งพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้ง 40/ 3 = 12 ต้น
                พื้นที่ 1 ไร่ จะใช้กิ่งพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งทั้งหมด ( 10 x 12 ต้น) = 120 ต้น
          หากปลูกที่ระยะน้อยกว่านี้ การเข้าไปดูแลจัดการสวนจะทำได้ยากและไม่สะดวก อีกทั้งไผ่ยังจะแย่งอาหารกันเองทำให้ต้องให้ปุ๋ยไผ่บ่อยกว่าเดิม

การปลูกไผ่ตงลืมแล้ง
           1. ขุดหลุมปลูกให้ได้ขนาดประมาณ 40 x 40 x 40 ซ.ม. แต่ขนาดของหลุมก็ขึ้นอยู่กับสภาพของดินถ้าเป็นร่วนปนทรายหลุมก็ไม่จำเป็นต้องใหญ่ บางพื้นที่ที่เป็นดินเหนียวหลุมที่ปลูกก็จะเล็กลงมาหน่อย ระยะห่างระหว่างต้นอยู่ที่ 3 x 4 เมตร โดยขุดหลุมและนำดินขึ้นมากองไว้ใส่ปุ๋ยคอกผสมกับหน้าดินที่ขุดขึ้นมาลงไปประมาณ 0.5-1.0 กิโลกรัม แนะนำให้ใส่ยาฆ่าแมลงฟูราดานลงไปด้วย 1 ช้อนชาเพื่อแก้ปัญหาปลวกในพื้นที่ปลูก 


           2. หลังจากนั้นผสมดินกับปุ๋ยคอกให้เข้ากันรองก้นหลุม ด้วยดินที่ผสมปุ๋ยคอกแล้วเพื่อเป็นอาหารให้ต้นไผ่ในช่วงสองเดือนแรก โดยจะให้สูงจากดินก้นหลุมประมาณ 10-15 ซม. แล้วนำต้นกล้าไผ่ตงลืมแล้งวางลงไปในหลุม


           3. ให้วางกิ่งไผ่เอียงประมาณ 50-60 องศา เพราะหน่อต่อไปจะได้แทงขึ้นตรงและเร็ว ฉีกถุงพลาสติกออกก่อนวางกิ่งพันธุ์ กลบดินจนพูน ตอนนี้ให้รดน้ำและอัดดินให้แน่น เมื่อดินล่างแน่นแล้วให้กลบดินทั้งหมดลงไป พูนดินบริเวณโคนกิ่งไผ่ให้เป็นเนินสูงเล็กน้อย


           4. ใช้ไม้ปักเป็นหลักตอกยึดกิ่งไผ่ไว้ให้แน่น เพื่อกันลมโยกหรือถ้าลมไม่แรงมากก็ไม่ต้องปักหลักไม้ รดน้ำให้ชุ่ม ควรใช้ทางมะพร้าวหรือวัสดุอื่นช่วยพรางแสงแดดจนกว่าต้นกล้าจะมีใบใหญ่และตั้งตัวได้ แล้วจึงค่อยเอาออก

การดูแลรักษา
1. การใส่ปุ๋ยไผ่ตงลืมแล้ง
          ในช่วงแรก (1-3เดือน) ต้นไผ่สามารถใช้ปุ๋ยคอกที่คลุกเคล้าไปกับดินที่ปลูกได้พอ แต่ในระยะต่อๆ ไป จำเป็นต้องมีการพรวนดินรอบๆ กอและใส่ปุ๋ยคอก 1 เดือน/ ครั้ง ครั้งละประมาณ 2-3 กิโลกรัม ในระยะนี้อาจจะเห็นว่าหน่อที่แตกจะมีขนาดค่อนข้างเล็กและจะมีขนาดโตขึ้นทุกๆ ปี ถ้าความชุ่มชื้นและดินอุดมสมบูรณ์ดีเพียงพอ แต่ถ้าจะให้ผลรวดเร็วควรจะให้ปุ๋ยเคมี 46-0-0 เร่ง ประมาณ2-3กำมือ/ กอ/ เดือน จะทำให้ไผ่เกิดหน่อปริมาณมากตลอดปี พอเข้าเดือนที่ 7 จะทำการตัดแต่งกอและพรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืช ปกตินิยมพรวนดินอีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ก่อนที่ดินจะแห้ง เพราะถ้าดินแห้งจะพรวนดินยาก ในกรณีที่ต้องการเร่งการออกหน่อ (กรณีพิเศษ) จะใส่ในช่วงต้นเดือน ก.พ.ถึง พ.ค. ปุ๋ยที่นิยมคือใช้ปุ๋ยคอกเป็นหลัก ในอัตรา 2-3กิโลกรัมต่อ กอ/ เดือน หรืออาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตร13-13-21 อัตรา 200กรัมต่อกอ และปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0  200กรัม/ กอ (เร่งหน่อเพื่อขาย ก่อนหน่อไม้ไทยจะเริ่มออกหน่อ)

2. การให้น้ำไผ่ตงลืมแล้ง 
         ช่วงแรก (โดยเฉพาะ 1-3 เดือน) ต้นไผ่ต้องการน้ำมาก ควรให้น้ำวันเว้นวัน แต่ถ้าปลูกไผ่ในฤดูฝน อาจไม่จำเป็นต้องให้น้ำถี่ขนาดนั้นก็ได้ นอกจากในกรณีฝนทิ้งช่วงนานจึงให้น้ำช่วย แต่หลังจากหมดฝนแล้ว ผู้ปลูกต้องคอยรดน้ำให้เสมออย่าปล่อยให้ขาดน้ำนาน เพราะในปีแรกต้นไผ่ยังไม่ค่อยแข็งแรงนักถ้าไม่มีน้ำ อาจตายได้โดยง่าย หลังจากต้นไผ่อายุเกิน 6-8 เดือน ไปแล้ว จะแข็งแรงและทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีขึ้น
 
3. การไว้ลำและการตัดแต่งกอไผ่ตงลืมแล้ง
          ไผ่ตงลืมแล้งเมื่อปลูกได้ประมาณ 3-4 เดือนจะเริ่มแตกหน่อได้ประมาณ 2-3 ลำ ในระยะแรกนี้จะไม่มีการตัดหน่อเลย ปล่อยให้เป็นลำต่อไป การดูแลกอไผ่ในช่วงนี้จะทำการตัดลำต้นที่เล็กออกไป ไม่ต้องเสียดาย ให้เหลือไว้เฉพาะลำที่ใหญ่ ลำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 นิ้วตัดทิ้งให้หมด
           วิธีการตัด ต้องตัดให้จมดิน อย่าให้มีตาเหลืออยู่อีก (ไม่ต้องการให้ขยายพันธุ์อีก) กิ่งแขนงเล็กๆ บริเวณโคนต้นที่ขึ้นเกะกะของลำแม่ควรตัดแต่งให้โล่ง (แสงแดดส่องถึงพื้นได้) เพื่อสะดวกในการให้น้ำและดูแล เมื่อต้นไผ่อายุได้ประมาณ 7-8 เดือนจะมีหน่อแทงขึ้นมาอีก 5-6 หน่อ ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตัดหน่อ ปล่อยให้ไผ่เป็นลำต่อไป แต่ถ้าพื้นที่ตรงนั้นดินอุดมสมบูรณ์ดี หน่อออกเยอะเราควรตัดขายไปบ้าง เช่นถ้าขึ้นมา 5 หน่อให้ตัดขายไป 3 หน่อ แต่ให้เลือกเอาหน่อที่สมบูรณ์ไว้(หน่อที่เบียดกันให้ตัดออกขายไป) การดูแลกอไผ่เพียงแค่ตัดเอาหน่อเน่า ลำคดเอียงแคระแกร็นออกและตัดแต่งกิ่งแขนงเล็กๆทิ้ง รักษาลำไผ่ให้มีอยู่ประมาณ 5-6ลำ (ลำใหญ่ๆ) 
           จากนั้นจึงเริ่มตัดหน่อขายบ้าง การตัดหน่อขายนี้ควรจะตัดจากกลางกอก่อนแล้วขยายออกมารอบนอกกอ ซึ่งหน่อนอกๆ ต้องมีการรักษาไว้บ้างเพื่อให้เป็นลำแม่ โดยเลือกหน่อที่อวบใหญ่และอยู่ในลักษณะที่จะขยายออกเป็นวงกลมเพื่อจะทำให้กอใหญ่ขึ้น มีหน่อมากขึ้นในปีต่อไป สะดวกที่จะเข้าไปดูแลรักษาและตัดหน่อ การตัดแต่งกอนั้น ควรทำติดต่อกันทุกๆ ปี สำหรับไผ่ตงลืมแล้งนี้ควรแต่งกอไผ่ประมาณต้นเดือน ก.ค. เพราะตอนนี้ ไผ่ชนิดอื่นกำลังออกหน่อ ช่วงนี้หน่อไม้ออกเยอะราคาไม่ค่อยดี ควรปล่อยหน่อให้เจริญเป็นลำแม่ได้เต็มที่ พอต้นเดือนตุลาคมจึงค่อยอัดปุ๋ยคอกและน้ำเพื่อเร่งการออกหน่อในช่วงหน้าหนาวและหน้าแล้ง ช่วงนี้ราคาของหน่อไผ่จะดีมาก (พ.ย.-พ.ค.) ของทุกปี

4. การบังคับให้ไผ่ตงลืมแล้งเกิดหน่อมากขึ้น
           ในการบังคับให้ไผ่ตงลืมแล้งแทงหน่อมากขึ้นตามฤดูกาลนั้น นอกจากการใส่ปุ๋ยและปฏิบัติดูแลตามปกติแล้ว ยังมีวิธีกระตุ้นให้ไผ่ตงแทงหน่อมากขึ้น โดยการสุมไฟในฤดูแล้งช่วงที่ลมสงบ (ปลายเดือน ม.ค-ก.พ.) โดยการรวบรวมใบไผ่และ กิ่งแขนง ที่ได้จากการตัดแต่งกิ่งแล้วนำมากองให้ห่างจากกอประมาณ 1 เมตร จุดไฟเผา แต่ต้องระวังไม่ให้ไฟกระโชกมาก โดยการพรมน้ำช่วยหรืออาจเอาใบไผ่และกิ่งแขนงสุมในกอเลย แต่ต้องระวังไม่ให้ไฟลามไปติดส่วนบนๆ ของกอ ในการสุมไฟนั้น เข้าใจว่าเป็นการเร่งให้ไผ่ตงมีการพักตัวเร็วขึ้น (hardening) เมื่อก่อนเข้าสู่ฤดูฝนจะได้แทงหน่อมากขึ้น หลังจากที่ได้พักตัวอย่างเต็มที่และการสุมไฟยังช่วยในการกำจัดโรคและแมลงไปพร้อมกันด้วย 
          นอกจากนี้ ยังมีวิธีการบังคับการออกหน่อวิธีอื่นอีก เช่น การพรวนดินแปลงไผ่ตงลืมแล้ ทั้งในระหว่างแถวและระหว่างต้น โดยทำการพรวนดินในช่วงก่อนฤดูแล้ง ประมาณเดือน ก.ค.-ก.ย. เป็นการทำลายรากแก่เพื่อให้แตกรากใหม่ ดังนั้นในการพรวนดิน การให้น้ำ ให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ไผ่ตงลืมแล้งออกหน่อเร็วและดกตลอดปี ส่วนการบังคับให้ไผ่ตงลืมแล้งแทงหน่อนอกฤดูปกติก็ทำได้เช่นกัน โดยการบำรุงต้นด้วยการใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มรวมกับปุ๋ยคอกและการให้น้ำอย่างถูกต้อง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงสามารถเร่งหน่อได้ และจะทำได้เฉพาะแปลงปลูกที่มีแหล่งน้ำอย่างเพียงพอเท่านั้น (จำเป็น)

5. การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูของไผ่ตงลืมแล้ง 
           ปกติไม่มีการระบาดรุนแรงของโรคและแมลงในสวนไผ่มากนัก มีเพียงแมลงพวกหนอนผีเสื้อกลางคืนมากัดกิน และม้วนใบไผ่เพื่อหลบซ่อนและเป็นที่อาศัยในระยะเป็นดักแด้บ้างเล็กน้อย แมลงที่เข้าทำลายหน่ออ่อนของไม้ไผ่ส่วนมากเป็นประเภทกัดกินหน่อ 4-5 ชนิด คือ หนอนด้วงเจาะหน่อไผ่ (ไผ่ตงลืมแล้งไม่ค่อยเจอเพราะลำค่อนข้างตัน), ด้วงกินหน่อ, ด้วงงวงเจาะกิ่ง , เพลี้ยอ่อนและมวนดูดน้ำเลี้ยง การควบคุมและกำจัดสามารถกระทำได้หลายวิธี คือ ภายหลังที่หน่อเริ่มแตกจากตาของเหง้าปล้องแล้ว ก็หาทางป้องกันพวกเชื้อราและแมลงที่เข้ามากัดกินและอาศัยอยู่ตามกาบของหน่ออ่อน โดยการใช้สารปราบศัตรูพืช เช่น มาลาไทออน ผสมน้ำราดที่หน่อและเหง้า หรือใช้ฟูราดาน ภูไมด์ หว่านลงที่ดิน แต่อย่านำหน่อไปบริโภคภายใน 60 วัน หรือใช้วิธีควบคุมโดยการลิดกิ่ง หรือตัดลำแก่ที่เป็นที่อยู่ของดักแด้ออก แล้วทำลายหรือขายลำไป จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดจำนวนประชากรแมลงได้ ส่วนมากแล้วไม่ค่อยพบปัญหาเกี่ยวกับโรคต่างๆ ในไผ่ตงลืมแล้ง แต่จะพบเพลี้ยตัวสีขาวๆ เกิดขึ้นตามข้อไผ่อ่อน เราอาจใช้ผงซักฟอกละลายน้ำราดรดลงไปก็จะหาย ถ้ามีจำนวนน้อยไม่มากนักก็ใช้มือขยี้ ถ้าจำเป็นต้องใช้เคมีก็ต้องใช้ชนิดอ่อนๆ เช่น เซฟวิน ฉีดพ่นครับ

6.การตัดหน่อไผ่ตงลืมแล้ง


           ไผ่ตงลืมแล้งจะแทงหน่อตลอดปีแต่จะดกมากเมื่อเริ่มเข้าฤดูฝน (เม.ย.-มิ.ย.) การตัดหน่อจะตัดเมื่อหน่อยาวประมาณ 1 ฟุต โดยใช้เสียมหางปลาตัดหน่อบริเวณกาบใบที่ 3 จากโคนหน่อ ซึ่งจะเหลือตาไว้ 2-3 ตา สำหรับแตกหน่อในช่วงถัดไป สำหรับหน่อที่ไม่แข็งแรงให้ตัดออกทิ้งไป 
           การตัดหน่อควรทำตอนเช้ามืด เพื่อจะได้หน่อไม้สดส่งตลาด หน่อไม้ไผ่ตงลืมแล้ง(หน่อไม้หวาน)ที่ตัดไว้นาน ๆ จะทำให้ความหวานของหน่อลดลง ดังนั้น ควรตัดหน่อแล้วรีบขายทันที ในการตัดหน่อควรเริ่มตัดหน่อจากกลางกอก่อน แล้วขยายวงออกมารอบนอกกอ ส่วนหน่อที่อวบใหญ่ที่อยู่ด้านนอกควรมีการรักษาไว้เพื่อให้เป็นลำแม่

7.การแก้ปัญหาโคนไผ่ลอย
           ไผ่ตงลืมแล้งหากโคนไผ่ลอยจะทำให้ออกหน่อน้อยหรือแทบจะไม่ออกเลย มีวิธีแก้แบบง่ายๆ ดังนี้


ที่มาเนื้อหาและภาพ : สวนไผ่อริยะระยองขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก : http://xn--72cfa1hey3b0dtji.com/detail.php?id=2167